-------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ
ชื่อผู้แต่ง ชลลดา ชะบางบอน. ชื่อ ศรีปราชญ์.สถานที่พิมพ์ ปทุมธานี.
สำนักพิมพ์ สกายบุ๊คส์. 2550. 162 หน้า.
------------------------------------------------------------------------
ศรีปราชญ์มีชีวิตโลดแล่นอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระยาปริยัตธรรมธาดา กล่าวยกย่องว่า “ศรีปราชญ์เป็นปฎิภาณกวีเหนือกว่ากวีหลายคนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช”
ปัจจุบันบทประพันธ์ของศรีปราชญ์สืบทอดต่อมาคือโคลงดั้นเบ็ดเตล็ดและอนิรุทธ์คำฉันท์
สันนิษฐานว่า ศรีปราชญ์ คงจะเกิดในปี พ.ศ. 2196 หรือ 3 ปี ก่อนที่สมเด็จพระนารายณ์เสด็จขึ้นครองราชย์แทนสมเด็จศรีสุธรรมราชา พระโหราธิบดี บิดาของศรีปราชญ์เข้ารับราชการในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
สันนิษฐานว่า ศรีปราชญ์ คงจะเกิดในปี พ.ศ. 2196 หรือ 3 ปี ก่อนที่สมเด็จพระนารายณ์เสด็จขึ้นครองราชย์แทนสมเด็จศรีสุธรรมราชา พระโหราธิบดี บิดาของศรีปราชญ์เข้ารับราชการในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
ตอนที่สมเด็จพระนารายณ์เดินทางไปประพาสยังป่าแก้ว
พระยารามเดโชโดนลิงอุจจาระลงศีรษะบรรดาทหารต่างๆก็หัวเราะ
สมเด็จพระนารายณ์ที่บรรทมอยู่จึงตื่นขึ้นแล้วตรัสถามอำมาตย์แต่ไม่มีใครกล้ากราบบังคมทูลเพราะกลัวจะไม่สบพระราชหฤทัยสมเด็จพระนารายณ์จึงเรียกมหาดเล็กศรีมาถาม
ฝ่ายเจ้าศรีรับใช้มานานจนทราบพระราชอัธยาศัยจึงกราบบังคมทูลด้วยคำคล้องจองว่า
พยัคฆะ ขอเดชะ วานระ ถ่ายอุจจาระ รดศีรษะ พระยารามเดโช
สมเด็จพระนารายณ์พอพระทัยเป็นอย่างมากแต่นั่นก็เป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้พระยารามเดโชเป็นอย่างมาก
สนมเอกได้ฟังก็ไม่พอพระทัยจึงไปทูลฟ้องสมเด็จพระนารายณ์ฯ
พระองค์จึงให้ศรีปราชญ์ไปอยู่ในคุกหลวงแต่ไม่ต้องไปทำงานเหมือนนักโทษคนอื่นๆ
พระยารามเดโชเห็นดังนั้นจึงให้ศรีปราชญ์มาทำงานเหมือนนักโทษคนอื่นๆ
ฝ่ายศรีปราชญ์นั้นเก่งแต่ทางโคลงมิได้เก่งทางด้านการใช้แรงงาน ทางสนมเอกฯ
ได้ข่าวก็เสด็จไปที่ที่ศรีปราชญ์ขุดคลองอยู่
เมื่อพระสนมเอกได้ตรัสว่าศรีปราชญ์สมพระทัยแล้วจึงเสด็จกลับ
แต่ต้องสวนกลับทางที่ศรีปราชญ์ได้ขนโคลนไปแล้ว
พวกนางรับใช้ของพระสนมเอกหมั่นไส้จึงขัดขาศรีปราชญ์
ดังนั้นโคลนจึงหกใส่พระสนมเอกซึ่งมีโทษถึงประหาร แต่พระโหราธิบดีได้เคยทูลขอกับสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ว่า หากเจ้าศรีทำผิดแล้วมีโทษถึงประหาร ขอพระราชทานให้ลดโทษเหลือเพียงเนรเทศ
ดังนั้นสมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงเนรเทศศรีปราชญ์ไปเมืองนครศรีธรรมราช
ซึ่งที่เมืองนครศรีธรรมราชนี้เองที่ศรีปราชญ์สามารถแสดงทักษะด้านกวีได้อีกเช่นกัน
เพราะว่าท่านเจ้าเมืองเองก็มีใจชอบด้านกวีอยู่แล้ว
และด้วยความเป็นอัจฉริยะของศรีปราชญ์นี้เองที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองโปรดปรานเขา
ทำให้มีคนหมั่นไส้และเคืองแค้นศรีปราชญ์ จึงได้ใส่ร้ายศรีปราชญ์
ว่าลักลอบเป็นชู้กับภริยาของพระยานคร
พระยานครหลงเชื่อจึงสั่งให้นำตัวศรีปราชญ์ไปประหารชีวิต ศรีปราชญ์ประท้วงโทษประหารชีวิตแต่ท่านเจ้าเมืองไม่ฟัง
ซึ่งปัจจุบันเชื่อกันว่าสถานที่ใช้ล้างดาบที่ใช้ประหารชีวิตศรีปราชญ์นั้น
ตั้งอยู่ภายในโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกว่า
"สระล้างดาบศรีปราชญ์"[1] และก่อนที่เพชฌฆาตจะลงดาบประหารศรีปราชญ์ได้ขออนุญาตเขียนโคลงบทสุดท้ายไว้กับพื้นธรณีว่า
ธรณีนี่นี้
|
เป็นพยาน
|
|
เราก็ศิษย์มีอาจารย์
|
หนึ่งบ้าง
|
|
เราผิดท่านประหาร
|
เราชอบ
|
|
เราบ่ผิดท่านมล้าง
|
ดาบนี้คืนสนอง ฯ
|
ในขณะที่ถูกประหารนั้นศรีปราชญ์มีอายุประมาณ 30
หรือ 35 ปี ได้ข่าวการประหารศรีปราชญ์
แพร่ไปถึงพระกรรณของสมเด็จพระนารายณ์ผู้ซึ่งใคร่จะเรียกตัวศรีปราชญ์มาใช้งานในเมืองหลวงพระองค์ทรงพระพิโรธเจ้าเมืองนคร
ฯ ผู้ซึ่งกระทำการโดยปราศจากความเห็นชอบของพระองค์ และเมื่อพระองค์ได้ทราบถึงโคลงบทสุดท้ายของศรีปราชญ์จึงมีพระบรมราชโองการให้นำเอาดาบที่เจ้าพระยานคร
ฯ ใช้ประหารศรีปราชญ์แล้วนั้นนำมาประหารชีวิตเจ้านครศรีธรรมราช ให้ตายตกไปตามกัน
สมดังคำที่ศรีปราชญ์เขียนไว้เป็นโคลงบทสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิตว่า “ ดาบนี้คืนสนอง ”
สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 9 คำพ่อสอน “นิสัยแห่งความดี” ดังนี้
1.ความเพียร คือ ศรีปราชญ์มีความขยันหมั่นเพียร มานะอดทน เอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี
2.ความรู้ตน คือ ศรีปราชญ์มีความรู้ในด้านการแต่งกลอน ทำให้สุนทรภู่เลี้ยงดูตนเองด้วยการแต่งกลอนจนกระทั่งเป็นกวีเอกของพระนารายณ์มหาราช
3.พูดจริงทำจริง คือ ศรีปราชญ์เป็นผู้ที่มีการพูดที่เป็นวาทศิลป์ เขาเป็นคนที่พูดจริงทำจริง
4.ความซื่อสัตย์ คือ ศรีปราชญ์เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน ซื่อตรงต่อหน้าที่ กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
5.การเอาชนะใจตนเอง คือ ศรีปราชญ์เอาชนะจิตใจที่ผิดศีลธรรมด้วยคุณงามความดี จรรยาบรรณ หรือ จริยธรรม
6.หนังสือเป็นออมสินแห่งความรู้ หนังสือเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นคล้ายๆธนาคารความรู้เพื่อให้เราหาความรู้ ไว้ศึกษา
7.อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ คือ ศรีปราชญ์เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ มีความอ่อนโยน
8.คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ คือ ศรีปราชญ์ถือเป็นบุคคลที่ควรเชิดชูให้เป็นแบบอย่างหลายประการ และกลอนของศรีปราชญ์ถือว่าเป็นคำสั่งสอนที่ดี เพื่อให้เป็นข้อคิดเตือนใจ ถือว่าเป็นผู้ให้เพื่อให้คนรุ่นหลังปฏิบัติตนให้เป็นคนดีในสังคม
9.ความพอดี คือ ศรีปราชญ์มีความพอดีในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่ตอนรับราชการจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น